สวัสดีค่ะ ขอแนะนำตัวนิดนึงนะคะ เราจบเศรษฐศาสตร์มาค่ะ ตอนเรียนอยู่ประมาณปี 1 คุณแม่ป่วยเนื่องจากได้รับสารพิษจากผักและผลไม้สดมากเกินไป ทำให้มีตุ่มเหมือนตุ่มสิวอยู่ในสำไส้ อาการคือทานอาหารไม่ได้ผะอืดผะอมตลอดเวลา มีแก๊สในกระเพาะอาหาร ต้องเข้าออกโรงพยาบาลอยู่หลายเดือน ตอนแรกคุณหมอสัณนิษฐานว่าเป็นโรคแพ้ภูมิตัวเองต้องกินยาต้องรมยา และสั่งห้ามทานผักสดเพราะย่อยยาก แต่ด้วยความที่คุณแม่เป็นคนรักสุขภาพและขาดผัก-ผลไม้สดไม่ได้เลยพยายามหาวิธีสู้กับมัน คุณแม่หยุดซื้อ ผัก-ผลไม้จากแหล่งเดิม(ทั้งๆที่ถุงเขียนว่าปลอดสาร) แล้วหันมาปลูกเองในที่เล็กๆในสวนหลังบ้าน เราเริ่มปลูกต้นปูเล่ ปลูกคะน้า ผักบุ้ง และผักสลัดไว้ทานเอง อาการคุณแม่ก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ จนคุณหมอประหลาดใจ เราเริ่มปลูกแก้วมังกรและทานผลมะม่วงจากต้นที่มีอยู่ที่บ้าน อยู่มาวันนึงคุณหมอก็ทักว่า ที่บ้านกำจัดปลวกยังไง ถ้าใช้วิธีการฉีด เวลาฝนตกลงมายามันจะซึมลงดินนะ ซึ่งก็แปลว่าผลไม้ที่ปลูกลงดินก็จะไม่ปลอดภัย ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา คุณแม่ก็ตัดสินใจปิดบริษัทที่ทำอยู่ แล้วเกษียณออกมาปลูกผักทานเองในพื้นที่เล็กๆที่สระบุรี ตอนแรกตั้งใจจะแค่ปลูกทานกันเองในครอบครัว แต่ด้วยความที่คุณแม่เป็นคนชอบทานผักมากจึงพยายามหาวิธีทำให้ผักปลอดสารพิษและรสชาติต้องอร่อยด้วยจึงทำให้ผักที่เราเอาไปแจกคนอื่นๆ (ทานกันเองไม่ทัน) กลายเป็นที่ชื่นชอบและทุกคนก็ปากต่อปากกันต่อไป เราจึงเริ่มขยายโรงเรือนและเริ่มทำเป็นธุระกิจเล็กๆ เส้นทางของเราไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบค่ะ ด้วยความที่เราไม่ได้มีการวางแผนให้ดีก่อนลงมือทำและยังไม่มีประสบการณ์ ปีแรกผลผลิตออกเยอะแยะมากมาย แต่ปีต่อๆมาไม่ได้เป็นแบบปีแรก เนื่องจากเรายังมีองค์ความรู้ไม่เพียงพอเราไม่ได้ให้ความสำคัญกับธาตุอาหารในดิน เรายังซื้อปุ๋ยมาจากที่อื่นอยู่ เราขาดทุนต่อเนื่องมากว่า 3 ปี ลองผิดลองถูก จนสุดท้ายเราเปลี่ยนมาทำปุ๋ยใช้เอง มีวิธีการปลูกโรงเรือนแบบที่เราออกแบบเอง จนทำให้เริ่มพอมีรายได้ขึ้นมาบ้าง
สิ่งที่เราเรียนรู้มาจากการทำเกษตรก็คือ
1. ต้องมีองค์ความรู้ให้รอบด้านก่อน รูปลักษณะพืช โรคพืช ความต้องการของพืช ดิน น้ำ ปุ๋ย ระบบน้ำ โรงเรือน ฯลฯ (ความรู้ไม่มีวันสิ้นสุด ต้องแสวงหาเรื่อยๆแล้วนำมาปรับใช้) 2. ต้องมีการวางแผนที่ดี ทดลองปลูกให้ผ่านพ้น 3 ฤดูก่อนว่ารอดมั๊ยก่อนที่จะขยาย 3. ต้องหาตลาดเป็นของตัวเองให้ได้ การที่ยังขายผ่านพ่อค้าคนกลางจะมีแต่โดนกดราคา 4. ต้องมีความอดทน ช่างสังเกตุ และเป็นคนละเอียด งานเกษตรเป็นงานละเอียด 5. ต้องมีใจ (อันนี้สำคัญที่สุด) และถ้าทำเกษตรอินทรีย์จะต้องมีความซื่อสัตย์ต่อผู้บริโภค (สำคัญมากกก ก ไก่ ล้านตัว)
ตอนเราจบมาคุณพ่อคุณแม่อยากให้ไปทำงานที่อื่นเพื่อหาประสปการณ์ก่อน แต่เราไม่ค่ะ เราเห็นว่าปัญหาของเกษตรกรรมในไทยคือการไม่มีการบริหารจัดการที่ดี เราอยากใช้ความรู้ที่เรียนมาพัฒนาการเกษตร และเป็นข้อพิสูจน์ว่า "ทำเกษตรไม่จำเป็นต้องจบเกษตร" ค่ะ ตอนนี้เราตระหนักแล้วว่าเกษตรอินทรีย์ทำคนเดียวลำบาก ถ้าอยากให้เกษตรอินทรีย์ในไทยโตได้อย่างมั่นคงและยั่งยืนเราต้องช่วยๆกันค่ะ
วันนี้เราเอาวิธีหมักปุ๋ยแบบง่ายๆสำหรับคนที่ไม่มีพื้นที่มาฝากค่ะ หากใครมีคำถามก็ถามได้เลยนะคะ เรื่องอะไรก็ได้เลยค่ะ ถ้าตอบได้จะตอบให้ หรือถ้าใครมีวิธีหรือสูตรที่ทำแล้วได้ผลมากกว่าก็เอามาแชร์เป็นวิทยาทานกันนะคะ ขอให้ทุกคนอดทนและสู้ ตั้งใจทำกันต่อไปค่ะ
🌿 ปุ๋ยหมักพืชสดสูตรคลีนฟาร์ม ขี้วัว + เศษผักที่คัดออก (ใบไม้แห้ง หญ้า) อัตราส่วน 1:1 ใส่เศษผักเท่าไหร่ก็ได้ แต่อย่าเกินปริมาณขี้วัว เวลาตวงให้ตวงใส่ภาชนะ1 ต่อ 1 ไม่ใช่การชั่งน้ำหนัก !!!! อันนี้เห็นคนที่มาเรียนเข้าใจผิดกันหลายคน ตะกร้าที่วางซ้อนกันได้
🌿วิธีทำ คลุกส่วนผสมเข้าด้วยกัน ไม่ต้องใส่ พด อะไรทั้งสิ้น ในขี้วัวมีจุลินทรีย์ย่อยอยู่แล้ว ตักใส่ตะกร้า อย่ากดให้แน่น ใส่หลวมๆให้ระบายอากาศได้ดี ซ้อนตะกร้าเอาไว้ ตั้งไว้ในที่ร่ม พ่นน้ำให้พอหมาด และพ่นทุกๆ 3 วัน ใช้เวลา 1 เดือนก็จะเป็นค่ะ
🌿เทคนิค (ถ้ามีเวลาและกังวลว่าขี้วัวจะปลอดสารรึป่าว) ให้กองขี้วัวไว้ตากแดดตากลมตากฝนไปก่อน 1 ปี (เป็นการล่อวัชพืชไปในตัว) แต่ต้องทำใจนะว่าจุลินทรีย์ในขี้วัวจะลดลงด้วย หาอะไรมาคลุมไว้ จะได้เร่งให้เป็นเร็วขึ้น ก่อนนำมาใช้ก็เอามาแผ่แล้วรดน้ำเพื่อล่อวัชพืชให้ขึ้นมาแล้วทำการคลุกๆอีกครั้ง ถ้ามีเวลาก็ทำจนกว่าจะไม่เหลือวัชพืช นำไปใช้ได้เลยแต่ถ้ายังก็ใส่ถุงปุ๋ยเก็บไว้ในที่ร่มเพื่อรักษาความชื่น
หวังว่าจะมีประโยชน์กันหลายๆคนที่เริ่มทำนะคะ อันนี้เป็นแค่สูตรเดียวของที่บ้านเราใช้ เรายังทำน้ำหมักจากปลาและนมด้วย ไว้คราวหน้าจะเอามาแชร์อีกค่ะ ทำแล้วได้ผลยังไงก็เอามาบอกกันด้วยนะคะ ในรูปคือใบของคะน้ายอดค่ะ คะน้าเห็ดหอมใหญ่กว่านี้อีก 2 เท่า ส่วนอีกรูปคือผักกาดขาวค่ะ อากาศไม่หนาวก็งามได้ ✌🏻 #เกษตรไม่ง้อสารเคมี #เกษตรอินทรีย์ดีต่อทั้งคนกินและคนปลูก❤️